วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

การมีสัจจะ

صدقوا الله

فصدقهم

พวกเขามีสัจจะต่ออัลเลาะห์

อัลเลาะห์จึงมีสัจจะต่อพวกเขา


“ผู้ชาย บะนูอิสรออีลคน หนึ่งขอยืมเงินจากบะนูอิลรออีลบางคน จำนวนหนึ่งพัน ดีนาร”


เจ้าหนี้ : ท่านจงนำพยานมา เพื่อฉันจะได้อ้างพวกเขาเป็นพยาน

ลูกหนี้ : อัลเลาะห์เป็นพยานก็พอแล้ว


เจ้าหนี้ : ท่านจงนำผู้ค้ำประกันมา

ลูกหนี้ : อัลเลาะห์ค้ำประกันก็พอแล้ว


เจ้าหนี้ : ท่านพูดถูกแล้ว จึงได้มอบเงินหนึ่งพันดีนาร

ให้เขาไป โดยมีกำหนดใช้คืนที่แน่นอน


ลูกหนี้ออกเดินทางไปในทะเลเพื่อทำธุระของตน จากนั้นได้หาเรือเพื่อนำเงินไปใช้คืนให้ทันตามกำหนด แต่ไม่มีเรือ


เขาจึงได้นำไม้มาหนึ่งท่อน เจาะรู เอาเงินหนึ่งพันดีนารใส่ลงไปพร้อมจดหมายถึงเจ้าของเงิน และอุดรู

เขาได้นำท่อนไม้นั้นมาที่ทะเล แล้วกล่าวว่า ข้าแด่อัลเลาะห์ท่านทราบดีว่าฉันยืมเงินชายคนหนึ่งมาจำนวน


เขาขอให้ฉันหาผู้ค้ำประกัน ฉันบอกว่าอัลเลาะห์ค้ำประกันก็พอแล้ว

เขาก็พอใจให้ท่านเป็นผู้ค้ำประกัน


เขาขอให้ฉันหาพยาน ฉันบอกว่าอัลเลาะห์เป็นพยานก็พอแล้ว เขาก็พอใจให้ท่านเป็นพยาน

ฉันพยายามหาเรือเพื่อจะส่งหนี้สินไปให้เขาแต่ฉันไม่สามารถทำได้


ฉันจึงขอฝากมันไว้กับท่าน จากนั้นเขาได้โยนท่อนไม้นั้นลงทะเล จนกระทั่งมันลับไปในทะเล
หลังจากนั้นเขาได้กลับไปในขณะเดียวกันนั้นเขาก็พยายามหาเรือเพื่อกลับไปยังเมืองของเขา


เจ้าหนี้ ได้ออกมาคอยเฝ้าดู อาจมีเรือนำทรัพย์ของเขามา


เขาได้พบท่อนไม้ซึ่งมีทรัพย์อยู่ข้างใน เขาได้นำมันกลับไปบ้านเพื่อทำฟืน


เมื่อเขาผ่าไม้ท่อนนั้น เขาได้พบทรัพย์และจดหมาย


ต่อมาลูกหนี้ได้มาพร้อม ด้วยเงินหนึ่งพันดีนาร เขากล่าวว่าขอสาบานต่ออัลเลาะห์


ฉันได้พยายามหาเรือเพื่อนำเงินมาคืนให้ท่าน แต่ฉันไม่พบเรือ ก่อนเรือลำนี้


เจ้าหนี้ : ท่านได้ส่งอะไรมาถึงฉันแล้วใช่ไหม

ลูกหนี้ : ฉันบอกท่านแล้วว่าฉันหาเรือก่อนหน้าเรือลำนี้ไม่ได้


เจ้าหนี้ : อัลเลาะห์ได้ใช้หนี้ที่ท่านได้ส่งมากับท่อนไม้แทนท่านแล้ว จงเอาหนึ่งพันดีนารนี้ไปอย่างมี

ความสุขเถิด....บุคอรี

ความสุขเ

คำสอนที่ได้รับจากเรื่องนี้

1- ความดี ความยุติธรรมและความซื่อสัตย์ยังมีอยู่

2- อัลเลาะห์เป็นพยานและเป็นผู้ค้ำประกันที่ดีที่สุด

3- การชดใช้หนี้ตามกำหนดเวลาเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่

ในการรักษาระบบการเงิน


ลูกหนี้ได้ใช้ความพยามถึง 6 ครั้ง

1-2- หาพาหนะ

3-หาท่อนไม้มาขุดเจาะและอุดรูไม้

4- เขาไม่กลับจนท่อนไม้ลับไปในทะเล

5- โยนท่อนไม้ลงทะเลและหาพาหนะอีก

6- นำเงินไปอีกหนึ่งพันดีนารเพื่อใช้หนี้


เล่าโดย อ.อรุณ บุญชม

ช้างตาเล็ก เสือมีลาย


มีเสือหนุ่มตัวหนึ่งดุร้ายมาก วันหนึ่งมันออกไปหากินตามปรกติ ขณะที่มันสอดส่ายสายตาหาเหยื่ออยู่นั้น มันก็แลเห็นช้างตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มันจึงวางแผนที่จะจับช้างให้ได้ แล้วเสือก็เดินตรงไปหาช้างทันที
ฝ่ายช้างเมื่อเห็นเสือเดินตรงมาหามันเช่นนั้น ครั้นจะวิ่งหนีไปก็ไม่ทัน จึงทำใจดีสู้เสือ แล้วพูดกับเสือไปว่า

"
สวัสดี เจ้าเสือผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าจะไปไหนหรือ"
"ข้าก็จะมาจับเจ้าไปเป็นอาหารนะสิ" เสือตอบ
"
ช้าก่อนเจ้าเสือร้าย เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นอิสระแล้ว ข้าเป็นเชลยเขาอยู่" ช้างพูด
"พุทโธ่เอ๋ย อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยากเลย เจ้าตัวใหญ่ออกอย่างนี้
ใครจะกล้ามาจับเจ้าเป็นเชลยได้ นอกจากข้าเจ้าป่าผู้ยิ่งใหญ่"
"
นี่ไงเจ้าเห็นมั้ย ขาของข้าถูกล่ามโซ่อยู่กับต้นไม้นี้ ก็เพราะข้าตกเป็นเชลยของมนุษย์"
ช้างพูดพร้อมยกขาที่ถูกล่ามโซ่ให้เสือดู
"อะไรกันมนุษย์ตัวเล็กนิดเดียว ยังจับเจ้าล่ามโซ่ได้หรือ" เสือถามอย่างสงสัย
"
ก็ใช่นะซิ มนุษย์ตัวเล็กๆนี่แหละ ถึงจะไม่มีเขี้ยวเล็บ ไม่มีเขาหรืองา แต่มนุษย์นั้นมี "ปัญญา" ช้างตอบยืนยัน

เสือพอได้ยินช้างพูดถึงคำว่า "ปัญญา" ก็สนใจ จึงถามช้างขึ้นว่า
"อ้ายตัวปัญญาของมนุษย์มันวิเศษแค่ไหนเชียว ถ้าข้าเจอละก็จะจับกินเสียให้เข็ด"
"
ปัญญาของมนุษย์ก็อยู่ที่ตัวมนุษย์ซิเจ้าเสือเอ๋ย ถ้าเจ้าอยากเห็นจริงๆ ละก็ รีบแก้โซ่ที่ผูกขาข้าออกซิ แล้วข้าจะพาเจ้าไปดู"
"ได้เลย" เสือพูดแล้วตรงเข้าไปแก้โซ่ที่ผูกขาช้างออก แล้วช้างก็เดินนำหน้าเสือ มุ่งสู่บ้านมนุษย์ทันที



เมื่อถึงบ้านมนุษย์แล้ว ช้างก็ตะโกนเรียกมนุษย์ให้ออกมาพบข้างนอก ฝ่ายมนุษย์ไม่รู้ว่าใครมาเรียก ก็ออกมาจากบ้านโดยที่ไม่ได้ระวังตัว
ทันใดนั้น เสือซึ่งรอจังหวะอยู่แล้ว จึงตะครุบตัวมนุษย์ไว้ในกรงเล็บอย่างง่ายดาย
มันหัวเราะเยาะด้วยเสียงอันดัง ที่สามารถเอาชนะมนุษย์ผู้พิชิตช้างได้ เสือจึงหันไปพูดกับช้างว่า

"
เจ้าช้าง ไหนเจ้าว่ามนุษย์มีปัญญาเก่งกล้า ยังไม่ทันได้ต่อสู้เลย ข้าก็จับมันได้แล้ว
และข้าจะกินมันเสียเดี๋ยวนี้แหละ"

มนุษย์เมื่อได้ยินเสือพูดอวดตัวเช่นนั้น ก็ใช้ปัญญาของตนต่อสู้กับเสือทันที โดยพูดกับเสือว่า
"
ช้าก่อนเจ้าเสือ ถ้าเจ้ากินข้าตอนนี้ เจ้าก็จะไม่มีโอกาศเห็นตัวปัญญาของข้าเลย"

เสือได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงัก แล้วถามมนุษย์ไปว่า
"
ไหนละตัวปัญญาของเจ้า ก่อนตายเอาออกมาอวดข้าหน่อยเป็นไง"
"
ได้ซิ ถ้าเจ้าอยากดู แต่ตัวปัญญาของข้าอยู่ในบ้าน ถ้าอยากเห็น เจ้าต้องปล่อยข้าไป
ข้าจะได้ไปจูงมันออกมาให้เจ้าดู"

ฝ่ายเสืออยากเห็นตัวปัญญาเป็นหนักหนา จึงหลงกลปล่อยมนุษย์ไป
มนุษย์เมื่อถูกปล่อยตัวเป็นอิสระแล้ว ก็วางแผนจัดการกับเสือ โดยพูดขู่เสือไปว่า
"
ระวังนะเจ้าเสือ ตัวปัญญาของข้ามันตกใจง่าย ถ้ามันเห็นเจ้าเข้า มันจะวิ่งหนีเข้าบ้าน
แล้วจะไม่ยอมออกมาอีกเป็นเด็ดขาด"
"
แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร" เสือถาม
"
ไม่ยาก เจ้ามาให้ข้าจับมัดไว้กับต้นไม้เสียก็สิ้นเรื่อง" มนุษย์เสนอความคิด
"
ตกลง" เสือตอบ

มนุษย์ก็จัดการมัดเสือไว้กับต้นไม้ แล้วก็เดินเข้าบ้านไป และออกมาพร้อมกับหวายในมือ
เสือเห็นมนุษย์ถือหวายออกมาก็แปลกใจ จึงถามว่า
"
ไหนละตัวปัญญาของเจ้า ไม่เห็นจูงออกมาให้ข้าดู"
มนุษย์ชูหวายขึ้นแล้วพูดว่า "นี่ไงละตัวปัญญาของข้า"
"
อ้ายนั่นมันหวาย จะเป็นตัวปัญญาได้อย่างไร" เสือแย้ง
"
นี่แหละตัวปัญญาของข้าอ้ายเสือหน้าโง่ เจ้ามันอวดเก่งนัก ข้าจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง"

พอมนุษย์พูดขาดคำ ก็หวดเสือด้วยหวายอย่างมันมือ จนนับครั้งไม่ถ้วน



ฝ่ายช้างที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็หัวเราะด้วยความชอบใจ
เพราะด้วยปัญญาของมนุษย์ มนุษย์ไม่เพียงรอดชีวิต มันเองก็รอดชีวิตด้วย ช้างหัวเราะใหญ่
หัวเราะเสียจนน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ดวงตาของช้างเลยเล็กลง เล็กลง เหลือเท่าที่เห็นจนทุกวันนี้
ซึ่งไม่สมกับตัวของมันเลย ก็เพราะหัวเราะมากนั่นเอง

ฝ่ายเสือเมื่อถูกโบยด้วยหวาย ก็เจ็บปวดแสนสาหัส ดิ้นทุรนทุรายไปมาจนเชือกขาด
มันจึงวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต จนถึงบัดนี้เสือก็ยังไม่รู้ว่า ปัญญาของมนุษย์คืออะไร
เสือเดินโซซัดโซเซ ไปขอความช่วยจากสัตว์ในป่าให้ช่วยรักษารอยแผลจากการถูกโบยด้วยหวาย
แต่ไม่มีสัตว์ใดช่วยเหลือ มีแต่สมน้ำหน้า เพราะเสือได้รังแกสัตว์อื่นไว้มากนั่นเอง ตัวของเสือจึงมีแผลเป็น
และกลายเป็นลายให้เห็น มาจนทุกวันนี้

อย่าทะนงหลงว่าเราเองเก่งกว่าคนอื่น เพราะอาจมีคนเก่งกว่าเราก็ได้
และเมื่อนั้นเรานั่นแหละจะอับอายขายหน้าคนอื่นๆเขา จนมองหน้าใครไม่ได้

ชายหนุ่มกับแอปเปิ้ลหนึ่งผล

กาลครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งชื่อ อบูซอลิห์ อาศัยอยู่ในเมืองญิลาน ในประเทศเปอร์เซียหรืออีหร่านในปัจจุบัน อบูซอลิห์

เป็นเด็กที่มีมารยาทงดงามยิ่ง เป็นเด็กที่ยึดมั่นในศาสนาอย่างเคร่งครัด ทุกคนรู้จักเขาว่าเป็นผู้นำที่มีความซื่อสัตย์ทั้งคำพูดและการกระทำ กล่าวกันว่าเขาสืบเชื้อสายมาจากท่านซัยยิดินาฮะซันหลานชายของท่านนบีมูฮำหมัด ศ้อลฯ

เมื่อตอนเป็นหนุ่ม อบูซอลิห์ ได้ถูกกล่าวขานจากบุคคลทั่วไปในความรอบรู้และคุณธรรมของเขา อบูซอลิห์ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำอิบาดะฮ์ ประกอบการงานที่ดีไม่ลุ่มหลงไปตามการหลอกลวงของโลกดุนยา วันหนึ่งหลังจากการทำ

อิบาดะฮ์เสร็จ เขาก็ออกจากบ้านไปนั่งที่โขดหิน เพื่อดูสายน้ำและรำลึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ ขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินอยู่นั้นสายตาก็เหลือบเห็นแอปเปิ้ลลูกหนึ่งลอยน้ำมา ด้วยความหิวกระหาย อบูซอลิห์จึงหยิบขึ้นมาทันที เขาทานได้เสี้ยวหนึ่ง

อบูซอลิห์ รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อนึกได้ว่า นี่ไม่ใช่แอปเปิ้ลของเรานี่

อบูซอลิห์รู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมาจับจิตด้วยความเกรงกลัวว่าอัลลอฮฺจะทรงลงโทษ เนื่องจากเขากินอาหารของคนอื่นเข้าไป อบูซอลิห์ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่ไม่นานจึงตัดสินใจว่า ตนต้องเดินไปตามสายน้ำนี้เพื่อหาว่า แอปเปิ้ลผลนี้เป็นของใคร หากเจอเจ้าของ เขาจะขออภัยเจ้าของที่เขาทานแอปเปิ้ลโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต ด้วยความยำเกรงัลลอฮ์ อบูซอลิห์จึงออกเดินทางทวนสายน้ำมุ่งหน้าหาเจ้าของแอปเปิ้ล

ในเวลาต่อมา อบูซอลิห์จึงเดินทางมาถึงสวนแอปเปิ้ลสวนหนึ่งที่มีกิ่งของมันยื่นมายังแม่น้ำ เขาเห็นแอปเปิ้ลกำลังสุขอยู่เต็มต้นด้วยความมั่นใจว่าแอปเปิ้ลที่เขากินไปนั้นต้องมาจากต้นนี้แน่นอน

อบูซอลิห์จึงตรงเข้าไปหาเจ้าของสวนซึ่งมีชื่อว่า อัลดุลลอฮ์ ซอมาอี แล้วเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้เขาฟัง เจ้าของสวนได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด รู้สึกประทัปใจในความซื่อสัตย์ของเด็กหนุ่มซอลิห์ ประกอบกับหน้าตาเด็กคนนี้งดงามยิ่ง บ่งบอกถึงการเป็นคนมี

คุณธรรม เจ้าของสวนจึงเอยว่า ได้ข้าจะยกโทษให้เจ้า แต่เจ้าต้องทำงานในสวนของข้าเป็นเวลา 12 ปี อบูซอลิห์ไม่พูดกระไร เขาน้อมรับเงื่อนไขนี้ด้วยความยินดีเพียงเพื่อได้รับการยกโทษจากเจ้าของสวนและการอภัยโทษจากอัลลอฮฺในความผิดที่เขาทานแอปเปิ้ลผลนั้นไป

อบูซอลิห์ทำงานในสวนนี้อย่างมุ่งมั่นและขยันขันแข็งโดยไม่เถลไถลแม้แต่น้อย จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ในที่สุดก็ล่วงมาถึง 12 ปี อบูซอลิห์จึงขออำลาเพื่อกลับบ้านเกิดเมืองนอน แต่อัลดุลลอฮ์เจ้าของสวนพูดว่า โอ้หนุ่มน้อยเจ้าทำงานมาถึง 12 ปีก็จริง แต่ข้ายังไม่ได้ยกโทษให้แก่เจ้าดอก จนกว่าเจ้าจะต้องแต่งงานกับลูกสาวของข้าเสียก่อน เพียงแต่ลูกสาวของข้าตาบอด หูหนวก เป็นใบ้และพิการด้วย อบูซอลิห์นิ่งอยู่นาน เนื่องจากมันเป็นเงื่อนไขที่หนักมาก แต่เมื่อคำนึงถึงโลกหน้าที่น่ากลัวยิ่งแล้ว อบูซอลิห์จึงตกลงรับการแต่งงาน

เมื่อพิธีนิกะฮ์เสร็จสิ้น อบูซอลิห์จึงเข้าสู่เรือนหอเพื่อจะได้พบภรรยา เมื่ออบูซอลิห์เข้าสู่ประตูเรือนหอเขาก็ตกใจเมื่อพบว่าผู้หญิงที่อยู่ในห้อง มีหน้าตาที่งดงามหาที่ติมิได้ อบูซอลิห์จึงวิ่งออกจากห้อง นางไม่ใช่ภรรยาของข้า อัลดุลลอฮ์ เมื่อเห็นอบูซอลิห์ตกอกตกใจเช่นนั้น ท่านอัลดุลลอฮ์จึงเรียกซอลิห์มาหาแล้วเอยขึ้นว่า โอ้ลูกรักของข้า เธอนั้นแหละคือภรรยาของเจ้า ที่ข้าบอกว่านางหูหนวก ก็เพราะนางไม่เคยฟังสิ่งไรสาระเลย ที่ข้าบอกว่านางเป็นใบ้เนื่องจากตลอดชีวิตของนางนางไม่เคยพูดจาโกหกและพูดคำพูดที่ไม่ดีเลย และที่ข้าบอกว่านางพิการก็เพราะนางไม่เคยใช้ร่างกายส่วนใดฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺ โอ้ลูกรักเพื่อตอบแทนความซื่อสัตย์ จิตใจอันสะอาด และความยำเกรงอันยิ่งใหญ่ที่เจ้ามีต่ออัลลอฮฺ ข้ายกลูกสาวที่รักของข้าให้แก่เจ้า

อบูซอลิห์กล่าวขอบคุณอัลลอฮฺ เขารู้สึกปิติยิ่งหนัก ในที่สุดทั้งสองสามีภรรยาก็ครองคู่กันอย่างมีความสุข

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หมาป่ากับหมาจิ้งจอก

หมาป่า กับหมาจิ้งจอกในป่าสูงแห่งหนึ่งนั้น
เมื่อมันได้สาบานตัวเป็นเพื่อนตาย ไม่ทำอันตรายต่อกันและช่วยกันทำมาหากิน
โดยหมาจิ้งจอกมีหน้าที่ไล่ต้อนสัตว์ป่าที่จะมาเป็นอาหาร ส่วนหมาป่าร่างใหญ่
ก็คอยจับสัตว์ป่าเหล่านั้น แล้วแบ่งกันกินอย่างอิ่มหนำสำราญทุกวันไป
สมเป็นเพื่อนตายโดยแท้

แต่อยู่มาไม่ช้าไม่นาน ก็ถึงฤดูกาลอันบังเกิดความแห้งแล้งกันดารทั่วไปในป่านั้น
บรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายเดือดร้อนเหลือประมาณ เพราะอาหารหายากยิ่งขึ้นทุกวัน
หมาป่า กับหมาจิ้งจอกนั้น ถึงกับอดอาหารสองวันสามวันบ่อยๆ ตลอดมา
ในที่สุดหมาป่าไม่สามารถทนหิวได้ จึงกระโจนเข้ากัดหมาจิ้งจอก
เพื่อนตายของมันเพื่อหวังกินเป็นอาหารจะได้พ้นจากความตายเพราะไม่มีอะไรจะกิน
หมาจิ้งจอกก็ดิ้นร้องขึ้น ก่อนจะกลายเป็นอาหารของหมาป่า ว่า...
"เจ้าเพื่อนตายของข้า คำสาบานของเจ้าเอาไปทิ้งเสียที่ไหนเล่า?"
"เจ้าหน้าโง่ เจ้าเคยเห็นคำสาบานหรือไฉน...
ใครบอกเจ้าว่าโลกนี้มีคำสาบาน
คำสาบานเป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ครั้นพูดออกไปแล้วก็ไม่มีตัวตน
หรือแม้แต่เงาก็ไม่มี"

ว่าแล้วหมาป่าก็กินหมาจิ้งจอก เป็นอาหารแก้หิวในมื้อนั้นเอง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ไม่มีคำมั่นสัญญาในหมู่โจร"

เสือตีนโต

มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอาชีพทำไร่ อยู่มาวันหนึ่งทั้งสองคนต่างก็ไปช่วยกัน
ทำไร่เหมือนเคย เผอิญวันนั้นไม่ได้ห่อข้าวไปกิน คิดว่าจะกลับไปกินกันที่บ้าน
พอตกบ่าย สองสามีภรรยาก็ชวนกันกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านสามีจึงพูดกับภรรยาว่า
"นี่น้อง ไปหุงหาอาหารมากินกันเถอะ วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรพี่หิวจังเลย"

ฝ่ายภรรยานั้นเป็นคนเกียจคร้านไม่ชอบหุงหาอาหารอยู่แล้ว เมื่อได้ยินสามีพูดดังนั้น
จึงตรงไปยังห้องครัว เข้าไปเปิดหม้อข้าวดู ก็เห็นมีข้าวเหลืออยู่ น่าจะพอแบ่งกันกินได้
จึงบอกกับสามีไปว่า
"ข้าวมีอยู่แล้วพี่ กับข้าวเมื่อเช้านี้ก็ยังเหลือ พี่หิวก็มากินได้เลย"

"เอ้างั้นก็ตกลง น้องก็มากินพร้อมกันเลยซิ" สามีพูด

สามีภรรยาต่างก็แบ่งข้าวกันกินคนละจาน ข้าวในหม้อจึงเหลืออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เผอิญมีเพื่อนคนหนึ่งมาที่บ้าน "เอ้ากำลังทำอะไรอยู่ละ" เพื่อนเอ่ยถาม

"กำลังจะกินข้าวกลางวันกัน มาๆ มานั่งกินข้าวด้วยกัน" สามีกล่าวเชิญชวนเพื่อน
ที่มาเยี่ยมตามธรรมเนียมไทยแท้ของคนไทย

"แหม กินสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน กำลังหิวอยู่พอดีเชียว"

เพื่อนก็มานั่งร่วมวงกินข้าวด้วย ภรรยาจึงตักข้าวที่เหลืออยู่ในหม้อ
ให้แขกที่มาเยี่ยมเยือน ข้าวที่มีเหลืออยู่ในหม้อเพียงน้อยนิดก็หมดลง

ทั้งสามคนต่างกินกันไปคุยกันไป ข้าวในจานแต่ละคนก็ร่อยหรอทีละนิด เผอิญข้าวในจาน
ของเพื่อนหมดก่อน เพื่อนก็คอยโอกาสให้เจ้าของบ้านคดข้าวให้ตนเพิ่ม แต่ก็ไม่ตักให้เสียที ฝ่ายเพื่อน
ยังไม่อิ่ม จึงคิดหาอุบายที่จะบอกให้เจ้าของบ้านคดข้าวให้ จึงพูดขึ้นว่า
"เมื่อวานนี้ เราไปเที่ยวในป่ามา โอ้โฮเพื่อนเอ๋ยเราไปเจอเสือตัวหนึ่งรอยตีนโตขนาดจานข้าวนี่เลย"
เพื่อนพูดพร้อมกับเอียงจานให้เจ้าของบ้านดู

เจ้าของบ้านเมื่อเห็นดังนี้ ก็ถือโอกาสเล่าต่อว่า
"เมื่อวานนี้เหมือนกันนั่นแหละ เราก็ไปเที่ยวป่ามาเหมือนกัน โอ้โฮเพื่อนเอ๋ย
เราไปเจอช้างรอยตีนโตขนาดหม้อนี่แหละ"
พูดพร้อมเอียงหม้อให้ดู เพราะข้าวก็หมดหม้อแล้วเหมือนกัน

isee.gif (1800 bytes)